โรคเบาหวานโดยหลักๆ แบ่งเป็น 2 ชนิด
-
ชนิด ที่หนึ่ง (Type 1) โรคเบาหวานที่เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เลย พบบ่อยในเด็กหรือวัยรุ่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายการรักษา ต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต
-
ชนิดที่สอง (Type 2) โรคเบาหวานที่เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลินและตับอ่อนสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอ พบบ่อยในผู้ใหญ่อายุ 40 ขึ้นไป บางครั้งไม่แสดงอาการใดๆซึ่งในประเทศไทยพบมากกว่า 90%
โรคเบาหวาน มีอาการอย่างไร ?
อาการหลักๆ ที่สื่อว่าคนๆ นั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาจได้แก่ รู้สึกหิวบ่อย , กระหายน้ำ , ปัสสาวะมีปริมาณมากและบ่อย อีกทั้งก็ยังมีอาการอื่นๆ ประกอบ อาทิ
- เหนื่อย อ่อนเพลีย
- ผิวแห้ง เกิดอาการคันบริเวณผิว
- ตาแห้ง
- มีอาการชาที่เท้า หรือรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ปลายเท้า หรือที่เท้า
- ร่างกายซูบผอมลงผิดปกติ โดยไม่สามารถหาสาเหตุได้
- เมื่อเกิดบาดแผลที่บริเวณต่างๆ ของร่างกายมักหายช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะแผลที่เกิดกับบริเวณเท้า
- สายตาพร่ามัวในแบบที่หาสาเหตุไม่ได้
10 สัญญาณอันตราย โรคเบาหวาน
- อ่อนเพลียง่าย ทั้งๆ ที่พักผ่อนเพียงพอ และไม่ได้ป่วยไข้
- ผอมลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
- หิวน้ำมากกว่าปกติ (เพราะร่างกายสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย)
- ตาพร่ามัวลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดขา ปวดเข่า
- ผิวหนังแห้ง และมีอาการคัน อาจจะคันตามตัว หรือคันบริเวณปากช่องคลอด
- เป็นฝีตามตัวบ่อยๆ
- อารมณ์แปรปรวน โมโหง่าย
- แผลหายช้า ไม่แห้งสนิท หรือขึ้นสะเก็ดเสียที
โรคเบาหวาน มีโอกาสพัฒนาจนกลายเป็นมะเร็งได้
เนื่องจากร่างกายไม่สามารถดึงน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้หมด น้ำตาลก็จะสะสมอยู่ในกระแสเลือด เมื่อร่างกายเกิดสภาวะภูมิต้านทานต่ำ หรือปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำ การพาของเสียออกจากเลือด ทำได้น้อยลง เชื้อจุลินทรีย์หรือสปอร์เชื้อรา ตัวไม่ดี ที่มีอยู่ในร่างกายมาตั้งแต่เกิด หรือมาจากอากาศ อาหาร หรือการสัมผัส ก็จะดึงน้ำตาลที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือในเลือดมาใช้สร้างพลังงานแทน จนเกิดสภาวะเลือดเป็นกรด เซลล์ปกติจะเริ่มกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด และเซลล์มะเร็งก็มีความสามารถในการแย่งน้ำตาลมาใช้ได้มากกว่าเซลล์ปกติถึง 20 เท่า เซลล์มะเร็งจึงลุกลามและแพร่กระจายไปได้เร็วขึ้น
การรักษาเบาหวานให้หายขาด จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งได้
ควรทานเซอร์นิติน ฉลากสี ชมพู น้ำตาล เขียว วีทกราส และ รอยัลไวต้า