ไวรัสตับอักเสบ ติดต่อกันอย่างไร
ไวรัสตับอักเสบบี ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ดี เมื่อเปรียบเทียบกับไวรัสชนิดอื่น และสามารถติดต่อได้ทางเลือด น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น และสารคัดหลั่งต่างๆ ของร่างกาย
การติดเชื้อที่พบบ่อย คือการถ่ายทอดจากมารดาที่ติดเชื้อสู่ทารก แต่ในปัจจุบันจะลดลงมาก เพราะการฉีดวัคซีนให้ทารกที่คลอดมาจะช่วยป้องกันได้เกือบร้อยละ 100 ดังนั้นการติดต่อที่สำคัญในปัจจุบัน คือทางเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ โดยไม่ได้ป้องกัน ซึ่งไวรัสตับอักเสบบี สามารถติดต่อได้ง่ายกว่าเชื้อไวรัสเอดส์ การสัก เจาะหู หรือการฝังเข็ม โดยอุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อไม่ถูกต้อง การได้รับเลือด และส่วนประกอบของเลือดที่ไม่จำเป็น ก็อาจเป็นสาเหตุได้ แต่พบได้น้อยมากในการตรวจกรองของธนาคารเลือดในปัจจุบัน
เชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไม่สามารถแพร่ผ่านอาหารและน้ำดื่ม (เว้นแต่ว่าอาหารนั้นจะผ่านการเคี้ยวมาก่อน เช่น มารดาเคี้ยวอาหารก่อนป้อนให้แก่ทารก)
หากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะมีอาการอย่างไร
- อาการอ่อนเพลียคล้ายเป็นหวัด
- คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด
- จุกแน่นใต้ชายโครงขวาจากตับโต
- ปัสสาวะเข้ม ตาเหลือง
อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นในเวลา 2-3 สัปดาห์ และร่างกายจะค่อยๆ กำจัดไวรัสตับอักเสบบีออกไปพร้อมๆ กับการสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีซ้ำอีก ผู้ป่วยร้อยละ 5-10 อาจโชคไม่ดี ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง โดยเฉพาะหากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ผู้ป่วยบางรายจะมีอักเสบของตับร่วมด้วย ซึ่งหากมีการอักเสบตลอดเวลาจะทำให้มีการตายของเซลล์ตับ เกิดมีพังผืดเพิ่มมากขึ้นจนเป็นตับแข็งในที่สุด ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งกลายเป็นมะเร็งตับซ้ำเติม
การป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
ได้แก่ การเจาะหรือสักลายผิวหนังที่ไม่ผ่านมาตรฐาน การใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น การใช้ของมีคมร่วมกับบุคคลอื่น เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ การเปลี่ยนคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้สามารถติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้ทั้งสิ้น
2. หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
เพื่อประเมินว่ามีความจําเป็นต้องรับประทานยาต้านไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อผ่านแม่สู่ลูกในครรภ์ได้
3. ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
ปัจจุบันมีวัคซีนที่สามารถป้องกัน จากการติดเชื้อทั้งไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับอักเสบดี เนื่องจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดี จะป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีด้วยเสมอ นอกจากนี้ยังมีวัคซีนสำหรับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ แต่ไม่มีสำหรับไวรัสตับอักเสบซี และอี
ไวรัสตับอักเสบบี สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน โดยแนะนำสำหรับ
- ผู้ที่ตรวจเลือดแล้วไม่พบว่าติดเชื้อมาก่อน
- ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคนี้
- ผู้ป่วยไตวายที่ต้องฟอกไต
- ผู้ที่อาจมีภูมิต้านทานบกพร่องในอนาคต
อาหารที่ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีควรกิน และไม่ควรกิน
การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และถูกหลักโภชนาการ เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายต่อตับ อาหารที่ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีควรรับประทานมีดังนี้
- ผักและผลไม้ปริมาณมากและหลากหลายชนิด
- ธัญพืชเต็มเมล็ดที่ไม่ผ่านขัดสี เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ควินัว ข้าวกล้อง
- โปรตีนไร้มัน เช่น ปลา ไก่ไร้หนัง ไข่ขาว ถั่ว
- อาหารจากนมไขมันต่ำหรือนมขาดมันเนย
- ไขมันดีจากถั่วชนิดต่างๆ อะโวคาโด และน้ำมันมะกอก
ส่วนอาหารที่ผู้ป่วยโรคนี้ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้เกิดไขมันสะสมที่ตับ จนกลายเป็นโรคตับแข็ง หรือเกิดแผลที่ตับจนส่งผลให้อาการของโรคแย่ลงกว่าเดิม ได้แก่
- อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เช่น เนย ซาวครีม อาหารจากนมไขมันสูง เนื้อสัตว์ติดมัน และอาหารจำพวกทอดทั้งหลาย
- อาหารที่มีเกลือหรือโซเดียมในปริมาณมาก
- อาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม เค็ก คุกกี้
- แอลกอฮอล์
นอกจากนี้คุณควรดื่มน้ำให้มาก ถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำเปล่า หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างกาแฟ ชา หรือน้ำอัดลม